FULL ANSWERA major difference betwe

FULL ANSWER
A major difference between these two concepts is that a law is formal public policy that has consequences for those who violate it. Someone who murders or steals, for instance, goes to jail if found guilty in court. In contrast, someone who violates what others view as a moral standard may have no tangible consequence other than damaged relationships.
Laws are sometimes viewed as legislation on moral issues. Many people lean on religious beliefs to frame their moral viewpoints. Politicians and some citizens also point to faith-based principles in suggesting that laws should follow what God commands. Others believe that laws should protect individual rights and freedoms but should not extend to topics viewed as ethical gray areas.
In some cases, laws and morals evolve over time based on changing societal views. The Civil Rights laws of the 1950s and 1960s developed as Americans became more supportive of an end to segregation. Sometimes, though, principle-based politicians and leaders look to enact laws based on personal convictions, even though they may contradict the popular opinion of the time.

Results (Thai) 1:

คำตอบทั้งหมดความแตกต่างที่สำคัญระหว่างแนวคิดเหล่านี้สองคือ กฎหมายเป็นนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการที่มีผลกระทบสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนนั้น คนที่ฆ่าคนหรือขโมย เช่น ไปคุกถ้าพบความผิดในศาล ในทางตรงกันข้าม คนที่ละเมิดบุคคลอื่นดูเป็นมาตรฐานคุณธรรมอาจมีสัจจะไม่มีตัวตนไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เสียหายกฎหมายบางครั้งดูเป็นกฎหมายในประเด็นคุณธรรม หลายคนเรียนรู้บนความเชื่อทางศาสนาการกรอบมุมมองทางศีลธรรมของพวกเขา นักการเมืองและประชาชนบางส่วนยังชี้ไปตามความเชื่อหลักการในการแนะนำว่า กฎหมายควรทำตามคำสั่งพระเจ้าอะไร ผู้อื่นเชื่อว่า กฎหมายควรป้องกันแต่ละสิทธิและเสรีภาพ แต่ไม่ควรขยายไปหัวข้อที่เป็นพื้นที่สีเทาด้านจริยธรรมในบางกรณี กฎหมายและมารยาทพัฒนาช่วงเวลาตามการเปลี่ยนแปลงมุมมองข้อมูล กฎหมายสิทธิพลเมืองของมินิและ 1960s พัฒนาเป็นชาวอเมริกันเป็นมากสนับสนุนยุติการแบ่งแยก บางครั้ง แต่ หลักตามนักการเมืองและผู้นำดูประกาศใช้เป็นกฎหมายตามเรียนส่วนตัว แม้ว่าพวกเขาอาจขัดแย้งกับความเห็นยอดนิยมของเวลา

Results (Thai) 2:

เต็มคำตอบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองแนวคิดคือว่ากฎหมายเป็นนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการที่มีผลกระทบสำหรับผู้ที่ละเมิดมัน คนที่ฆาตกรรมหรือขโมยเช่นไปเข้าคุกถ้าพบความผิดในศาล ในทางตรงกันข้ามคนที่ละเมิดสิ่งที่คนอื่นดูเป็นมาตรฐานทางศีลธรรมอาจไม่มีผลที่มีตัวตนอื่น ๆ นอกเหนือจากความสัมพันธ์ที่ได้รับความเสียหาย.
กฎหมายจะถูกมองว่าบางครั้งการออกกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นทางศีลธรรม หลายคนยันในความเชื่อทางศาสนาที่จะใส่ร้ายมุมมองของพวกเขาทางศีลธรรม นักการเมืองและประชาชนบางส่วนยังชี้ไปที่หลักการตามความเชื่อในการชี้ให้เห็นว่ากฎหมายควรทำตามสิ่งที่คำสั่งของพระเจ้า คนอื่นเชื่อว่ากฎหมายควรจะปกป้องสิทธิส่วนบุคคลและเสรีภาพ แต่ไม่ควรขยายไปยังหัวข้อที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่สีเทาจริยธรรม.
ในบางกรณีกฎหมายและศีลธรรมที่พัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานของการเปลี่ยนมุมมองของสังคม กฎหมายสิทธิมนุษยชนของปี 1950 และ 1960 ได้รับการพัฒนาเป็นชาวอเมริกันกลายเป็นมากขึ้นในการสนับสนุนให้ยุติการแยก บางครั้งแม้ว่านักการเมืองตามหลักการและผู้นำมีลักษณะที่จะตรากฎหมายขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะขัดแย้งกับความคิดเห็นที่นิยมของเวลา

Results (Thai) 3:

ตอบเต็ม
ความแตกต่างหลักระหว่างแนวคิดทั้งสองนี้เป็นกฎหมายเป็นทางการนโยบายสาธารณะที่มีผลกระทบต่อผู้ที่ละเมิดมัน คนที่ฆ่าหรือขโมย เช่น ติดคุก ถ้าพบความผิดในศาล ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ละเมิด สิ่งที่คนอื่นดูเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมอาจไม่ได้ผล นอกจากทำลายความสัมพันธ์
กฎหมาย บางครั้งดูเป็นกฎหมายในประเด็นจริยธรรม หลายคนที่อิงความเชื่อทางศาสนาในกรอบของจริยธรรมมุมมอง . นักการเมืองและประชาชนบางส่วนยังจุดที่จะเชื่อตามหลักการบอกว่ากฎหมายควรจะทำตามที่พระเจ้าสั่ง คนอื่นเชื่อว่ากฎหมายที่ควรปกป้องสิทธิและเสรีภาพแต่ไม่ควรขยายไปยังหัวข้อที่ดูเป็นจริยธรรม
พื้นที่สีเทาในบางกรณี กฎหมายและจริยธรรมวิวัฒนาการในช่วงเวลาขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนมุมมองทางสังคม สิทธิตามกฎหมายของปี 1950 และ 1960 เป็นคนอเมริกันก็ยิ่งสนับสนุนการสิ้นสุดการแยก . บางครั้งแม้ว่าหลักการตามนักการเมืองและผู้นำดูบัญญัติกฎหมายตามความเชื่อส่วนบุคคล ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะขัดแย้งกับความเห็นยอดนิยมของเวลา