Secondary objectives:• To determine

Secondary objectives:

• To determine if PI-based HAART is superior to NRTI-based HAART when used for the purpose of preventing antepartum and intrapartum MTCT by comparing the percentage of women in each randomization arm with HIV-1 RNA < 50 copies/mL and < 1000 copies/mL at delivery and throughout the breastfeeding period.

• To determine if laboratory and clinical toxicities among pregnant/postpartum women and their infants, and adherence to treatment regimen among women, differ by randomized treatment arm through 12 months postpartum.

• To compare long-term infant toxicities and neurodevelopment with infants in the Mashi Study.

• To determine the extent of correlation between breast milk HIV-1 RNA and DNA and plasma HIV-1 RNA among women receiving HAART, to describe differences in correlation by randomization arm and time on HAART, and to explore the association of breast milk HIV-1 RNA and DNA and plasma HIV-1 RNA with overall and breastfeeding MTCT.

• To quantify the viral load threshold for MTCT while receiving HAART in the antepartum, intrapartum, and breastfeeding periods by describing plasma and breast milk HIV-1 RNA values closest to HIV transmission among transmitting mother-infant pairs.

• To determine if HIV resistance mutations differ by randomization arm, and whether resistance mutations and low antiretroviral concentrations in plasma (mothers and infants) and breast milk (mothers) are associated with MTCT, by evaluating transmitting mother-infant pairs and a matched group of non- transmitting pairs.

• To determine if HAART started in pregnancy is associated with prematurity or low birth weight or developmental delay or morbidity by describing rates of prematurity and low birth weight infant and growth parameters and morbidity by randomization arm, and in comparison with an historical group of infants born to women at the same sites who received ZDV alone during pregnancy in the Mashi Study.

Results (Thai) 2:

วัตถุประสงค์รอง: •การตรวจสอบว่า PI-based ยาต้านไวรัสจะดีกว่ายาต้านไวรัส NRTI ตามเมื่อนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกัน antepartum และคลอด MTCT โดยการเปรียบเทียบอัตราร้อยละของผู้หญิงในแต่ละแขนสุ่มกับ HIV-1 RNA <50 copies / mL และ <1,000 copies / ml ที่การส่งมอบและตลอดระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนม. •การตรวจสอบว่าห้องปฏิบัติการทางคลินิกและความเป็นพิษในหมู่หญิงตั้งครรภ์ / หลังคลอดและทารกของพวกเขาและการยึดมั่นกับการรักษาวินัยในหมู่ผู้หญิงแตกต่างกันโดยการรักษาแขนสุ่มผ่าน 12 เดือนหลังคลอด. •ในการ เปรียบเทียบความเป็นพิษของทารกในระยะยาวและ neurodevelopment กับทารกในการศึกษา Mashi. •ในการกำหนดขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างเต้านม HIV-1 RNA และ DNA และพลาสม่า HIV-1 RNA ในหมู่ผู้หญิงที่ได้รับยาต้านไวรัสเพื่ออธิบายถึงความแตกต่างในความสัมพันธ์ด้วยแขนที่สุ่ม และเวลาบนยาต้านไวรัสและการสำรวจความสัมพันธ์ของเต้านมที่ติดเชื้อ HIV-1 RNA และ DNA และพลาสม่า HIV-1 RNA ด้วยโดยรวมและการเลี้ยงลูกด้วยนม MTCT ได้. •ปริมาณเกณฑ์โหลดไวรัสสำหรับ MTCT ขณะที่ได้รับยาต้านไวรัสใน antepartum, คลอดและ ระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมโดยการอธิบายพลาสมาและเต้านมที่ติดเชื้อ HIV-1 ค่าอาร์เอ็นเอที่ใกล้เคียงกับการติดเชื้อ HIV ในหมู่ส่งคู่แม่ทารก. •การตรวจสอบว่าเอชไอวีที่มีความต้านทานการกลายพันธุ์ที่แตกต่างกันโดยแขนสุ่มและไม่ว่าการกลายพันธุ์ต้านทานและความเข้มข้นด้วยยาต้านไวรัสในระดับต่ำในพลาสม่า (มารดาและทารก ) และเต้านม (แม่) จะเกี่ยวข้องกับ MTCT, โดยการประเมินการส่งคู่แม่ทารกและกลุ่มของคู่จับคู่ที่ไม่ได้ส่งสัญญาณ. •การตรวจสอบว่ายาต้านไวรัสเริ่มต้นในการตั้งครรภ์มีความเกี่ยวข้องกับทารกเกิดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักแรกเกิดต่ำหรือพัฒนาการล่าช้าหรือการเจ็บป่วย โดยการอธิบายอัตราการคลอดก่อนกำหนดและทารกน้ำหนักแรกคลอดต่ำและการเจริญเติบโตและการเจ็บป่วยด้วยแขนที่สุ่มและในการเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ทางประวัติศาสตร์ของทารกที่เกิดมาเพื่อผู้หญิงที่เว็บไซต์เดียวกันที่ได้รับ ZDV คนเดียวในระหว่างตั้งครรภ์ในการศึกษา Mashi

Results (Thai) 3:

วัตถุประสงค์รอง :- เพื่อตรวจสอบว่า ยาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้ปี่เป็นกว่า nrti ใช้ยาต้านไวรัสเอดส์เมื่อใช้สำหรับวัตถุประสงค์ของการป้องกันก่อนเกิด และ intrapartum mtct เปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงในแต่ละชุดแขนมี HIV-1 RNA ในพลาสมา < 50 ชุด / ml และ < 1000 แผ่น / ml ในการจัดส่ง และตลอดระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ .- เพื่อตรวจสอบว่า คลินิก ห้องปฏิบัติการและความเป็นพิษของสตรีตั้งครรภ์ / หลังคลอด และทารกของพวกเขาและยึดมั่นในการรักษาของผู้หญิงแตกต่างกันโดยการสุ่มแขนผ่าน 12 เดือนหลังคลอด- เปรียบเทียบความเป็นพิษของทารกในระยะยาวและ neurodevelopment กับทารกในการศึกษา Mashi .- เพื่อกำหนดขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างนม HIV-1 RNA และ DNA และ RNA ในพลาสมาในกลุ่มผู้หญิงที่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ เพื่ออธิบายถึงความแตกต่างในความสัมพันธ์โดยการใช้แขนและเวลาในยาต้านไวรัสเอดส์ และศึกษาความสัมพันธ์ของ RNA ในนมเต้านมและ DNA และ RNA ในพลาสมาด้วยโดยรวมและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ mtct .- ช่วงค่าไวรัลโหลดที่ mtct ขณะได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ในช่วงเวลาก่อนเกิด intrapartum , และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยได้อธิบายและ RNA ในพลาสมามีค่าใกล้เคียงกับนมแม่ ทารกส่งการติดเชื้อระหว่างคู่- เพื่อตรวจสอบว่า ผู้ต่อต้านการกลายพันธุ์ที่แตกต่างกันโดยใช้แขน และว่า การกลายพันธุ์ การต้านทานต่ำและความเข้มข้นในพลาสมา ( มารดาและทารกแรกเกิด ) และนม ( แม่ ) ที่เกี่ยวข้องกับ mtct โดยประเมินส่งแม่ทารกคู่และคู่กลุ่มไม่ถ่ายทอดคู่- เพื่อตรวจสอบว่า ยาต้านไวรัสเอดส์เริ่มต้นในการตั้งครรภ์ที่เกี่ยวข้องกับก่อนกำหนดหรือทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยหรือพัฒนาการล่าช้าหรือการเจ็บป่วยจากการอธิบายของ prematurity และอัตราทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อยและพารามิเตอร์การเติบโตและการเจ็บป่วยโดยใช้แขน และในการเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ของกลุ่มทารกที่เกิดกับผู้หญิงที่เว็บไซต์เดียวกันเพื่อคนเดียวที่ได้รับในระหว่างการตั้งครรภ์ ใน การศึกษา Mashi .