Cathode rays (also called an electr

Cathode rays (also called an electron beam or e-beam) are streams of electrons observed in vacuum tubes. If an evacuated glass tube is equipped with two electrodes and a voltage is applied, the glass opposite of the negative electrode is observed to glow, due to electrons emitted from and travelling perpendicular to the cathode (the electrode connected to the negative terminal of the voltage supply). They were first observed in 1869 by German physicist Johann Hittorf, and were named in 1876 by Eugen Goldstein kathodenstrahlen, or cathode rays.[1]

Electrons were first discovered as the constituents of cathode rays. In 1897 British physicist J. J. Thomson showed the rays were composed of a previously unknown negatively charged particle, which was later named the electron. Cathode ray tubes (CRTs) use a focused beam of electrons deflected by electric or magnetic fields to create the image in a classic television set.

Results (Thai) 1:

รังสีแคโทด (เรียกว่าลำแสงอิเล็กตรอนหรือ e-beam) เป็นกระแสของอิเล็กตรอนพบในหลอดสูญญากาศ ถ้าหลอดแก้วสุญญากาศเป็นอุปกรณ์ที่มีสองขั้วไฟฟ้าแรงดันไฟฟ้าและถูกนำไปใช้ตรงข้ามกระจกของขั้วลบเป็นที่สังเกตการเรืองแสงเนื่องจากอิเล็กตรอนที่ปล่อยออกมาจากการเดินทางและตั้งฉากกับแคโทด (ขั้วไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกับขั้วลบของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า) พวกเขาได้เห็นครั้งแรกในปี 1869 โดยนักฟิสิกส์เยอรมันโยฮัน hittorf และมีชื่ออยู่ใน 1876 โดยเออเก็นโกลด์สตีน kathodenstrahlen หรือรังสีแคโทด. [1]

อิเล็กตรอนถูกค้นพบครั้งแรกในฐานะองค์ประกอบของรังสีแคโทด ในเจฟิสิกส์ 1897 อังกฤษJ ทอมสันแสดงให้เห็นว่ารังสีที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบที่ไม่รู้จักก่อนหน้านี้ซึ่งได้รับการตั้งชื่อภายหลังอิเล็กตรอน หลอด (CRTs) ใช้ลำแสงเน้นของอิเล็กตรอนหักเหโดยสนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กในการสร้างภาพในโทรทัศน์ชุดคลาสสิก.

Results (Thai) 2:

กระแสของอิเล็กตรอนในหลอดสูญญาการังสีแคโทด (ยังเรียกว่าเป็นลำแสงอิเล็กตรอนหรืออีบีม) ได้ ถ้าเป็นหลอดแก้วสุญญากาศพร้อมหุงตสอง และใช้กับแรงดันไฟฟ้า แก้วตรงข้ามไฟฟ้าลบคือสังเกตการเรืองแสง อิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจากและการเดินทางที่ตั้งฉากกับแคโทด (ไฟฟ้าเชื่อมต่อกับเทอร์มินัลลบของแรงดัน) พวกเขาถูกพบครั้งแรกในงแมง โดยเยอรมัน physicist Hittorf โยฮันน์ และชื่อใน 1876 Eugen Goldstein kathodenstrahlen หรือรังสีแคโทด[1]

ก่อนพบอิเล็กตรอนเป็น constituents ของรังสีแคโทด ในอังกฤษ physicist 1897 เจ เจทอมสันพบว่า รังสีถูกประกอบไปด้วยไม่รู้จักก่อนหน้านี้คิดค่าธรรมเนียมส่งอนุภาค ซึ่งในภายหลังชื่อว่าอิเล็กตรอน หลอดรังสีแคโทด (CRTs) ใช้ลำแสงโฟกัสของอิเล็กตรอน deflected ไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กในการสร้างภาพในโทรทัศน์คลาสสิก

Results (Thai) 3:

ภาพ รังสี(ที่เรียกอีกอย่างว่าลำแสงอิเล็กทรอนิกส์หรือ e - ลำแสงที่)มีสตรีมของอิเล็กตรอนไปกระทบกับจอสังเกตเห็นในท่อดูดฝุ่น หากท่อดูดฝุ่นอพยพกระจกที่ได้รับการจัดให้บริการด้วยสองเชื่อมและใช้แรงดันไฟฟ้าที่ใช้จะตรงข้ามกับกระจกของเชื่อมติดลบที่พบว่ามีการเรืองแสงเนื่องจากมีการปล่อยออกมาจากอิเล็กตรอนไปกระทบกับจอและในการเดินทางทำมุมตั้งฉากกับ ภาพ (เชื่อมที่เชื่อมต่อกับอาคารโดยสารที่เป็นไปในเชิงลบของแรงดันไฟฟ้าเพาเวอร์ซัพพลาย) พวกเขาก็พบว่าใน 1869 โดย Johann hittorf นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันเป็นครั้งแรกและมีชื่อเสียงในเมื่อปี 1876 โดย eugen goldstein kathodenstrahlen หรือ ภาพ รังสี.[ 1 ]

อิเล็กตรอนไปกระทบกับจอมีการตรวจพบเป็นส่วนประกอบของ ภาพ รังสีเป็นครั้งแรก 1897 นักฟิสิกส์บริติช.ศป.J .ทอมสันแสดงให้เห็นแสงที่มีประกอบด้วยของฝุ่นละอองส่งผลกระทบในทางลบคิดที่ไม่รู้จักมาก่อนซึ่งได้รับการขนานนามว่าอิเลคตรอนได้ใน ภายหลัง หลอด ภาพ Ray (ขอนำเสนอ)ใช้ลำแสงโฟกัสของเฉไปอิเล็กตรอนไปกระทบกับจอโดยข้อมูลในฟิลด์แม่เหล็กหรือไฟฟ้าลัดวงจรในการสร้าง ภาพ ในโทรทัศน์แบบคลาสสิคที่.