BackgroundCervical cancer is the th

Background

Cervical cancer is the third most common cause of death among gynecologic cancers and Pap smear test as an effective screening method. The aim of this study was the effect of education based on health belief model on women's practice about Pap smear test.

Methods

This study was a controlled quasi-experimental study conducted on 120 women aged 20-65 years and the samples were randomly divided into two groups of 60 persons; intervention group (under education) and control group (without education). Then women were evaluated in two stages (before intervention and two months after intervention). The training was held in two 1.5-hour sessions with practical displays, films, lectures and questions and answers.

Results

Before education, 23.3% of women in case group and 31.7% in control group had done Pap smear, but after education, 31.7% of them in case group and 3.3% in control group had done Pap smear. There was not a significant difference before education between two groups (P=0.414), but after education, a significant difference between two groups in terms of women's practice was observed (P=0.001). In case group was found a significant difference before and after intervention in terms of HBM constructs (P

Results (Thai) 1:

พื้นหลังมะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุทั่วไปมากที่สุดสามตายมะเร็งทางนรีเวชและตรวจภายในทดสอบเป็นวิธีคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของการศึกษานี้เป็นผลของการศึกษาตามรูปแบบความเชื่อสุขภาพในสตรีปฏิบัติเกี่ยวกับการทดสอบการตรวจภายในวิธีการการศึกษานี้เป็นการศึกษากึ่งทดลองควบคุมดำเนินการ 120 ผู้หญิงอายุ 20-65 ปี และตัวอย่างถูกสุ่มแบ่ง 60 คน กลุ่มในการแทรกแซง (ภายใต้การศึกษาและกลุ่มควบคุม (โดยไม่มีการศึกษา) แล้ว ผู้หญิงที่ถูกประเมินในขั้นที่สอง (ก่อนที่ จะแทรกแซง และสองเดือนหลังจากการแทรกแซง) การฝึกอบรมถูกจัดขึ้นสองครั้ง 1.5 ชั่วโมงกับปฏิบัติแสดง ภาพยนตร์ บรรยาย และคำถาม และคำตอบผลลัพธ์ก่อนศึกษา 23.3% ของผู้หญิงในกลุ่มกรณีและ 31.7% ในกลุ่มควบคุมทำตรวจภายใน แต่หลัง จากศึกษา 31.7% ของพวกเขาในกรณีกลุ่ม และ 3.3% ในกลุ่มควบคุมทำตรวจภายใน ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญก่อนที่จะศึกษาระหว่าง 2 กลุ่ม (P = 0.414), แต่หลังจากศึกษา ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองกลุ่มในสตรีฝึกสังเกต (P = 0.001) ในกรณีที่กลุ่มพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญก่อน และ หลังการแทรกแซงในรูปแบบของโครงสร้าง HBM (P < มาก 0.0001), แต่ในกลุ่มควบคุม จบการศึกษาไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากพื้นฐานเฉพาะในด้านการรับรู้ภูมิไวรับ (P = 0.042) และถือว่าความรุนแรง (P = 0.002)บทสรุปผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาตามรูปแบบความเชื่อด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติของสตรีเกี่ยวกับการทดสอบการตรวจภายในเพิ่ม

Results (Thai) 2:

ประวัติความเป็นมะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดที่สามของการเสียชีวิตของการเกิดโรคมะเร็งทางนรีเวชและการทดสอบการตรวจ Pap smear เป็นวิธีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของการศึกษาครั้งนี้มีผลการศึกษาตามรูปแบบความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการปฏิบัติของผู้หญิงเกี่ยวกับการทดสอบการตรวจ Pap smear. วิธีการศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษากึ่งทดลองดำเนินการใน 120 ผู้หญิงที่มีอายุ 20-65 ควบคุมปีและกลุ่มตัวอย่างถูกแบ่งออกเป็นสอง กลุ่ม 60 คน; กลุ่มแทรกแซง (ภายใต้การศึกษา) และกลุ่มควบคุม (ไม่มีการศึกษา) แล้วผู้หญิงที่ได้รับการประเมินในสองขั้นตอน (ก่อนที่จะแทรกแซงและอีกสองเดือนหลังจากการแทรกแซง) การฝึกอบรมที่จัดขึ้นในสองช่วง 1.5 ชั่วโมงด้วยการแสดงในทางปฏิบัติ, ภาพยนตร์, การบรรยายและคำถามและคำตอบ. ผลก่อนการศึกษา 23.3% ของผู้หญิงในกลุ่มกรณีและ 31.7% ในกลุ่มควบคุมได้ทำตรวจ Pap smear แต่หลังจากการศึกษา 31.7% ของพวกเขาในกรณีที่กลุ่มและ 3.3% ในกลุ่มควบคุมได้ทำตรวจ Pap smear ไม่มีความแตกต่างระหว่างการศึกษาก่อนที่ทั้งสองกลุ่ม (P = 0.414) แต่หลังจากศึกษาความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองกลุ่มในแง่ของการปฏิบัติของผู้หญิงพบว่า (P = 0.001) ในกรณีที่เป็นกลุ่มที่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญก่อนและหลังการแทรกแซงในแง่ของการสร้าง HBM (p <0.0001) แต่ในกลุ่มควบคุมในตอนท้ายของการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญที่แตกต่างจากพื้นฐานเพียง แต่ในแง่ของความไวต่อการรับรู้ (P = 0.042) และ การรับรู้ความรุนแรง (P = 0.002). สรุปผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการศึกษาตามรูปแบบความเชื่อด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพในการเพิ่มการปฏิบัติของผู้หญิงเกี่ยวกับการทดสอบการตรวจ Pap smear

Results (Thai) 3:

พื้นหลัง

มะเร็งปากมดลูกเป็น 3 สาเหตุส่วนใหญ่ของการตายระหว่างมะเร็งนรีเวชวิทยาและการทดสอบเป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพ จุดมุ่งหมายของการศึกษานี้คือ ผลของการศึกษาตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพต่อการปฏิบัติของผู้หญิงเกี่ยวกับการทดสอบ smear



วิธี PAPการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองควบคุม จากการศึกษาในผู้หญิงอายุ 20-65 120 ปี และทำการสุ่มแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละ 60 คน กลุ่ม ( อยู่ระหว่างศึกษา ) และกลุ่มควบคุม ( ไม่มีการศึกษา ) แล้วผู้หญิงที่ถูกประเมินใน 2 ขั้นตอน ( ก่อนการทดลอง และหลังการทดลอง 2 เดือน ) การอบรมจัดขึ้น 2 1ร่วมการประชุมกับการแสดงจริง ภาพยนตร์ การบรรยายและคำถามและคำตอบ

ผล

ก่อนการศึกษา , 23.3 % ของผู้หญิงในกลุ่มศึกษาและกลุ่มประสบการณ์ในกลุ่มควบคุมทำแปปสเมียร์ แต่หลังจากการศึกษา ประสบการณ์ของพวกเขาในกลุ่มศึกษาและกลุ่ม 3.3% ในกลุ่มควบคุมทำการตรวจมะเร็งปากมดลูก ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ก่อนการศึกษาระหว่างสองกลุ่ม ( p = 0.414 ) แต่หลังจากการศึกษาความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มในแง่ของการปฏิบัติของผู้หญิงพบ ( P = 0.001 ) ในกรณีที่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มก่อนและหลังการทดลองในแง่ของโครงสร้างห์ ( P < 0.0001 ) แต่ในกลุ่มควบคุม ที่จบการศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญจากค่าเริ่มต้นเพียง แต่ในแง่ของการรับรู้โอกาสเสี่ยง ( p = 0.042 ) และการรับรู้ความรุนแรง ( p = 0.002 )



สรุปผลการศึกษาพบว่า การศึกษาตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพในการเพิ่มผู้หญิงฝึกเกี่ยวกับการทดสอบ smear PAP