Cost-effective production of protea

Cost-effective production of proteases those are robust enough to function under harsh process conditions are always sought after due to their wide industrial application spectra. Solid-state production of enzymes using agro-industrial wastes as substrates is an environment-friendly approach, and offers several advantages like high productivity, cost-effectiveness, less labour intensive and lesser effluent production, among others. In the current study, different agrowastes were employed for thermoalkali-stable protease production from Bacillus subtilis K-1 (BSK-1) under solid state fermentation. Among several agricultural residues examined cotton seed cake supported maximum protease production (728 Uml−1), and was followed by gram husk (714 Uml−1), mustard cake (680 Uml−1), and soybean meal (653 Uml−1). Plackett-Burman design of experiment showed that peptone, moisture content, temperature, phosphates and inoculum size were the significant variables which influenced the protease production. Furthermore, statistical optimization of three variables viz. peptone, moisture content and incubation temperature by response surface methodology resulted in 40% enhanced protease production as compared to that under unoptimized conditions (from initial 728 Uml−1 to 1020 Uml−1). Thus, solid-state fermentation coupled with design of experiment tools represents a cost-effective strategy for production of industrial enzymes.

Results (Thai) 1:

Proteases ผลิตคุ้มค่าที่จะแข็งแกร่งพอที่จะทำงานภายใต้กระบวนการรุนแรงเสมอจะขอหลังจากเงื่อนไขเนื่องจากแรมสเป็คตราแอพลิเคชันกว้างอุตสาหกรรมของพวกเขา โซลิดสเตตผลิตเอนไซม์ที่ใช้กากอุตสาหกรรมเกษตรเป็นพื้นผิวเป็นวิธีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีข้อดีหลายประการเช่นผลผลิตสูง ประหยัดค่าใช้จ่าย น้อยกว่าแรงงานเข้มข้น และน้อยกว่าน้ำทิ้งผลิต หมู่คนอื่น ๆ ในการศึกษาปัจจุบัน agrowastes ต่าง ๆ ได้จ้างสำหรับคอก thermoalkali รติเอสผลิตจากคัด subtilis K-1 (BSK-1) ของแข็งหมักดอง ผ้าฝ้ายตกเกษตรตรวจสอบหลายเค้กเมล็ดสนับสนุนผลิตรติเอสสูงสุด (728 Uml−1), และด้วยแกลบกรัม (714 Uml−1), เค้กกาด (680 Uml−1), และกากถั่วเหลือง (653 Uml−1) ออกแบบ Plackett พม่าทดลองพบว่า peptone ความชื้นเนื้อหา อุณหภูมิ ฟอสเฟต และขนาด inoculum มีตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการผลิตรติเอส นอกจากนี้ เพิ่มประสิทธิภาพทางสถิติของตัวแปรที่สามได้แก่ peptone อุณหภูมิเนื้อหาและฟักตัวของความชื้น โดยวิธีการพื้นผิวตอบสนองผลผลิตรติเอสเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับที่ภายใต้เงื่อนไข unoptimized (จากเริ่มต้น 728 Uml−1 กับ 1020 Uml−1) ดังนั้น โซลิดสเตตหมักควบคู่กับการออกแบบเครื่องมือทดลองแสดงกลยุทธ์คุ้มค่าสำหรับการผลิตเอนไซม์อุตสาหกรรม

Results (Thai) 2:

การผลิตที่มีประสิทธิภาพของโปรตีเอสเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพพอที่จะทำงานภายใต้เงื่อนไขกระบวนการที่รุนแรงจะขอเสมอหลังจากที่เกิดจากการใช้ในอุตสาหกรรมสเปกตรัมกว้างของพวกเขา การผลิตของรัฐที่มั่นคงของเอนไซม์ที่ใช้ของเสียอุตสาหกรรมเกษตรเป็นพื้นผิวที่เป็นวิธีการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีข้อได้เปรียบหลายประการเช่นการผลิตสูงค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพแรงงานเข้มข้นน้อยลงและการผลิตน้ำทิ้งที่น้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในการศึกษาปัจจุบัน agrowastes ที่แตกต่างกันมีการใช้ในการผลิตเอนไซม์โปรติเอ thermoalkali มั่นคงจากเชื้อ Bacillus subtilis K-1 (BSK-1) ภายใต้การหมักของรัฐที่มั่นคง ในบรรดาสารตกค้างทางการเกษตรหลายเค้กเมล็ดฝ้ายตรวจสอบได้รับการสนับสนุนการผลิตโปรติเอสสูงสุด (728 UML-1) และตามมาด้วยแกลบกรัม (714 UML-1), เค้กมัสตาร์ด (680 UML-1) และกากถั่วเหลือง (653 UML-1) . การออกแบบ Plackett-พม่าของการทดลองแสดงให้เห็นว่าเปปโตนความชื้นอุณหภูมิฟอสเฟตและขนาดหัวเชื้อเป็นตัวแปรที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อการผลิตน้ำย่อย นอกจากนี้การเพิ่มประสิทธิภาพทางสถิติของสามตัวแปร ได้แก่ เปปโตนความชื้นและอุณหภูมิบ่มโดยวิธีพื้นผิวตอบสนองผลใน 40% การผลิตโปรติเอสที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับว่าภายใต้เงื่อนไขไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพ (จากเริ่มต้น 728 UML-1-1020 UML-1) ดังนั้นการหมักแบบ solid-state ควบคู่ไปกับการออกแบบของเครื่องมือการทดลองแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตเอนไซม์อุตสาหกรรม