In this chapter, the researcher des

In this chapter, the researcher described the research methodology used in this study to
test the hypotheses and the rationale behind it. Sellitz, Johoda, Deutsch, and Cook (1966)
suggested that for any research to be purposeful, it should discover answers to the
research questions. The researcher used this chapter to explain the methodology of the
study. Detailed information was provided to explain the context of the study, the
participants, the instruments, and the methods used in gathering the data. The chapter
ended with an explanation of the analysis of the data.
The researcher’s purpose of this study was to discover if any relationship existed
between servant leadership and organizational commitment. To investigate the problem,
the following research questions and null hypotheses were analyzed:
1. Does the pastor’s servant leadership style of leadership have an effect on staff
affective commitment to the organization?
Hypothesis 1a: There will be no significant correlation between the pastor’s
altruistic calling and staff affective commitment to the organization.
Hypothesis 1b: There will be no significant correlation between the pastor’s
emotional healing and staff affective commitment to the organization.
Hypothesis 1c: There will be no significant correlation between the pastor’s
wisdom and staff affective commitment to the organization.
Hypothesis 1d: There will be no significant correlation between the pastor’s
persuasive mapping and staff affective commitment to the organization.
Hypothesis 1e: There will be no significant correlation between the pastor’s
organizational leadership and staff affective commitment to the organization.
Servant Leadership and Organizational Commitment 41
2. Does the pastor’s servant leadership style of leadership have an effect on staff
continuance commitment to the organization?
Hypothesis 2a: There will be no significant correlation between the pastor’s
altruistic calling and staff continuance commitment to the organization.
Hypothesis 2b: There will be no significant correlation between the pastor’s
emotional healing and staff continuance commitment to the organization.
Hypothesis 2c: There will be no significant correlation between the pastor’s
wisdom and staff continuance commitment to the organization.
Hypothesis 2d: There will be no significant correlation between the pastor’s
persuasive mapping and staff continuance commitment to the organization.
Hypothesis 2e: There will be no significant correlation between the pastor’s
organizational stewardship and staff continuance commitment to the organization.
3. Does the pastor’s servant leadership style of leadership have an effect on staff
normative commitment to the organization?
Hypothesis 3a: There will be no significant correlation between the pastor’s
altruistic calling and staff normative commitment to the organization.
Hypothesis 3b: There will be no significant correlation between the pastor’s
emotional healing and staff normative commitment to the organization.
Hypothesis 3c: There will be no significant correlation between the pastor’s
wisdom and staff normative commitment to the organization.
Hypothesis 3d: There will be no significant correlation between the pastor’s
persuasive mapping and staff normative commitment to the organization.
Servant Leadership and Organizational Commitment 42
Hypothesis 3e: There will be no significant correlation between the pastor’s
organizational stewardship and staff normative commitment to the organization

Results (Thai) 1:

ในบทนี้ นักวิจัยอธิบายระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการศึกษานี้จะทดสอบสมมุติฐานการหลักการและเหตุผลด้านหลัง Sellitz, Johoda ดัตช์ และอาหาร (1966)แนะนำว่า การวิจัยจะ purposeful มันควรพบคำตอบคำถามวิจัย นักวิจัยใช้บทนี้จะอธิบายวิธีการของการศึกษา ให้ข้อมูลรายละเอียดจะอธิบายบริบทของการศึกษา การผู้เข้าร่วม เครื่องมือ และวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล บทสิ้นสุดกับคำอธิบายของการวิเคราะห์ข้อมูลวัตถุประสงค์ของนักวิจัยการศึกษานี้ไม่ได้ถ้าความสัมพันธ์ใด ๆ อยู่ระหว่างข้าราชการเป็นผู้นำและความมุ่งมั่นขององค์กร การตรวจสอบปัญหาคำถามวิจัยต่อและสมมุติฐาน null ถูกวิเคราะห์:1. แบบนำข้าราชการของศิษยาภิบาลเป็นผู้นำมีผลพนักงานมุ่งมั่นผลองค์กรสมมติฐาน 1a: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลaltruistic โทรศัพท์และพนักงานผลมั่นกับองค์กรสมมติฐาน 1b: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลรักษาจิตใจและความมุ่งมั่นผลพนักงานกับองค์กรสมมติฐาน 1c: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลภูมิปัญญาและพนักงานผลมั่นกับองค์กรสมมติฐาน 1d: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลpersuasive แม็ปและพนักงานผลมั่นกับองค์กรสมมติฐาน 1e: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลภาวะผู้นำและพนักงานผลผูกพันกับองค์กรนำข้าราชการและผูกพัน 412. แบบนำข้าราชการของศิษยาภิบาลเป็นผู้นำมีผลพนักงานความมุ่งมั่นต่อเนื่องกับองค์กรสมมติฐาน 2a: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลaltruistic โทรศัพท์และบริการต่อเนื่องมุ่งมั่นกับองค์กรสมมติฐาน 2b: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลรักษาจิตใจและความมุ่งมั่นต่อเนื่องพนักงานกับองค์กรสมมติฐานที่ 2c: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลภูมิปัญญาและบริการต่อเนื่องมั่นกับองค์กรสมมติฐาน 2d: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลpersuasive แม็ปและบริการต่อเนื่องมั่นกับองค์กรสมมติฐาน 2e: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลดูแลและบริการต่อเนื่องผูกพันกับองค์กร3. แบบนำข้าราชการของศิษยาภิบาลเป็นผู้นำมีผลพนักงานnormative มั่นกับองค์กรสมมติฐาน 3a: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลaltruistic โทรศัพท์และพนักงาน normative มั่นกับองค์กรสมมติฐาน 3b: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลรักษาจิตใจและความมุ่งมั่น normative พนักงานกับองค์กรสมมติฐาน 3c: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลภูมิปัญญาและพนักงาน normative มั่นกับองค์กรสมมติฐาน 3d: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลpersuasive แม็ปและพนักงาน normative มั่นกับองค์กรนำข้าราชการและผูกพัน 42สมมติฐาน 3e: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างของศิษยาภิบาลดูแลและบริการ normative ผูกพันกับองค์กร

Results (Thai) 2:

ในบทนี้ผู้วิจัยอธิบายวิธีการวิจัยที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เพื่อทดสอบสมมติฐานและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมัน Sellitz, Johoda เยอรมันและ Cook (1966)
ชี้ให้เห็นว่าสำหรับการวิจัยใด ๆ
ที่จะเป็นจุดมุ่งหมายก็ควรค้นพบคำตอบกับคำถามการวิจัย
นักวิจัยที่ใช้ในบทนี้จะอธิบายวิธีการของการศึกษา
รายละเอียดข้อมูลที่จัดเตรียมจะอธิบายบริบทของการศึกษาที่เข้าร่วมเครื่องมือและวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล
บทจบลงด้วยคำอธิบายของการวิเคราะห์ข้อมูลที่.
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิจัยนี้คือการค้นพบว่าความสัมพันธ์ใด ๆ
อยู่ระหว่างความเป็นผู้นำคนรับใช้และความมุ่งมั่นขององค์กร
เพื่อตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นคำถามต่อไปนี้การวิจัยและสมมติฐานการวิเคราะห์:
1
ไม่ลักษณะการเป็นผู้นำคนรับใช้พระของความเป็นผู้นำที่มีผลกระทบต่อพนักงานมุ่งมั่นอารมณ์ให้กับองค์กร?
สมมติฐาน 1a:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างของบาทหลวงโทรเห็นแก่ผู้อื่นและพนักงานมุ่งมั่นอารมณ์ให้กับองค์กร.
1b สมมติฐาน: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ
ระหว่างบาทหลวงของการรักษาทางอารมณ์และพนักงานมุ่งมั่นอารมณ์ให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 1c:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างของพระปัญญาและพนักงานมุ่งมั่นอารมณ์ให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 1 d:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างที่พระทำแผนที่การโน้มน้าวใจและพนักงานความมุ่งมั่นของอารมณ์ให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 1e:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างบาทหลวงของความเป็นผู้นำขององค์กรและพนักงานมุ่งมั่นอารมณ์ให้กับองค์กร.
เป็นผู้นำคนรับใช้ความผูกพันต่อองค์การ 41
2.
ลักษณะการเป็นผู้นำคนรับใช้พระของความเป็นผู้นำมีผลกระทบต่อพนักงานต่อเนื่องมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กร?
สมมติฐาน 2a:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างของบาทหลวงโทรเห็นแก่ผู้อื่นและพนักงานมุ่งมั่นต่อเนื่องให้กับองค์กร.
2b สมมติฐาน:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างบาทหลวงของการรักษาทางอารมณ์และพนักงานมุ่งมั่นต่อเนื่องให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 2c:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างของพระปัญญาและพนักงานมุ่งมั่นต่อเนื่องให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 2d:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างที่พระทำแผนที่การโน้มน้าวใจและพนักงานมุ่งมั่นต่อเนื่องให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 2e: จะไม่มีนัยสำคัญ
ความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวงของการดูแลขององค์กรและความมุ่งมั่นของพนักงานต่อเนื่องให้กับองค์กร.
3
ไม่ลักษณะการเป็นผู้นำคนรับใช้พระของความเป็นผู้นำที่มีผลกระทบต่อพนักงานมุ่งมั่นกฎเกณฑ์ให้กับองค์กร?
สมมติฐาน 3a:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างของบาทหลวงโทรเห็นแก่ผู้อื่นและพนักงานมุ่งมั่นกฎเกณฑ์ให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 3b: จะไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ
ระหว่างบาทหลวงของการรักษาทางอารมณ์และพนักงานมุ่งมั่นกฎเกณฑ์ให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 3c:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างของพระปัญญาและพนักงานมุ่งมั่นกฎเกณฑ์ให้กับองค์กร.
สมมติฐาน 3d:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างที่พระทำแผนที่การโน้มน้าวใจและพนักงานความมุ่งมั่นในกฎเกณฑ์ให้กับองค์กร.
เป็นผู้นำคนรับใช้ความผูกพันต่อองค์การ 42
สมมติฐาน 3e:
จะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างบาทหลวงของการดูแลขององค์กรและความมุ่งมั่นของพนักงานกฎเกณฑ์ให้กับองค์กร

Results (Thai) 3:

ในบทนี้ ผู้วิจัยอธิบายวิธีการวิจัยที่ใช้ในการศึกษานี้

ทดสอบสมมติฐานและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมัน sellitz johoda , ภาษาเยอรมัน , และปรุงอาหาร ( 1966 )
แนะนำว่า สำหรับงานวิจัยที่ต้องเด็ดเดี่ยว ก็ค้นพบคำตอบของคำถามการวิจัย
. ผู้วิจัยได้ใช้บทนี้จะอธิบายวิธีการของ
ศึกษาข้อมูลที่ได้รับการอธิบายบริบทของการศึกษา ,
คน เครื่องมือ และวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล บท
ปิดท้ายด้วยคำอธิบายของการวิเคราะห์ข้อมูล .
ที่ผู้วิจัยศึกษา ค้นพบ ถ้าความสัมพันธ์ใด ๆเกิดขึ้นระหว่างภาวะผู้นำกับความผูกพันต่อองค์การ
คนรับใช้ เพื่อศึกษาปัญหา
ต่อไปนี้คำถามการวิจัยสมมติฐานโมฆะและวิเคราะห์ :
1 แล้วบาทหลวงผู้รับใช้แบบภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำมีความสัมพันธ์กับพนักงาน
อารมณ์ผูกพันองค์กร
1A สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ
เอื้อเฟื้อเรียกอารมณ์ความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ :
1B สมมติฐาน .จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ
อารมณ์รักษาอารมณ์ความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
c สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างภูมิปัญญาของ
บาทหลวงและเจ้าหน้าที่ด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
1D สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวง
การทำแผนที่ใจและเจ้าหน้าที่ด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
1e สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและเจ้าหน้าที่ขององค์การ
พระอารมณ์ความผูกพันต่อองค์การ ภาวะผู้นำ และความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ 41

2 คนใช้ แล้วบาทหลวงผู้รับใช้แบบภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำมีความสัมพันธ์กับพนักงาน
ด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์กร
2A สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ
เอื้อเฟื้อเรียกด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
2B สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างของอาจารย์และเจ้าหน้าที่ด้านการรักษา
อารมณ์ความผูกพันต่อองค์การ .
2 C : สมมติฐานจะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างภูมิปัญญาของพนักงานด้าน
บาทหลวงและความผูกพันต่อองค์กร
2d สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ
ประทับการทำแผนที่ด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
2 สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวง
การจัดการองค์การและพนักงานด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
3 แล้วบาทหลวงผู้รับใช้แบบภาวะผู้นำ ภาวะผู้นำมีความสัมพันธ์กับพนักงาน
บรรทัดฐานผูกพันองค์กร
3A สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ
เอื้อเฟื้อเรียกผลที่เกิดจากความแก่องค์กร
3B : สมมติฐานจะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างของ
บาทหลวงรักษาอารมณ์และพนักงานมุ่งมั่นมาตรฐานเพื่อองค์กร สมมติฐาน
3 C : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างพระปัญญาและความมุ่งมั่นของ
พนักงานมาตรฐานเพื่อองค์กร
3 สมมติฐาน : จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างบาทหลวง
การทำแผนที่ใจและความมุ่งมั่นเกี่ยวกับพนักงานในองค์การ ภาวะผู้นำ ความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ 42

และสมมติฐาน 3E ทาส จะไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลองค์การของอาจารย์และเจ้าหน้าที่ต่อ
บรรทัดฐานให้แก่องค์กร