The results of this study revealed

The results of this study revealed the relationship between the pastor’s servant
leadership and the staff member’s organizational commitment to the church. Data
collected was from 37 Southern Baptist churches in the state of Mississippi with a
resident membership of 500 or more. Ninety-one participated in the study.
Using the Servant Leadership Questionnaire (SLQ) (Barbuto & Wheeler, 2006), the
Three-Component Model (TCM) Employee Commitment Survey (Meyer & Allen, 2004),
and a demographic survey, the data was collected. Full-time ministerial staff members
and administrative assistants participated, rating the servant leadership style of their
pastor in addition to providing their organizational commitment. Evidence supported the
reliability and validity of both servant leadership and organizational commitment models
and the associated instruments.
This study found a statistically significant correlation between the pastor’s servant
leadership style of leadership and the staff’s affective and normative organizational
commitment. No statistical significant correlation existed between the pastor’s servant
leadership style of leadership and the staff’s continuance commitment to the organization.
Statistical data and implications for the findings were included.
This research presented information that can be used in future studies relating to
leadership behavior, as outlined in servant leadership theories and its effect on
subordinates in organizations.

Results (Thai) 1:

ผลการศึกษานี้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการของศิษยาภิบาลภาวะผู้นำและผูกพันของพนักงานกับคริสตจักร ข้อมูลรวบรวมได้จากโบสถ์แบพติสท์ใต้ 37 ในรัฐมิสซิสซิปปีมีการสมาชิกประจำของ 500 หรือมากกว่า 90 คนเข้าร่วมในการศึกษาใช้แบบสอบถามภาวะผู้นำผู้รับใช้ (SLQ) (Barbuto & วีลเลอร์ 2006), การรุ่นสามส่วน (TCM) พนักงานมั่นสำรวจ (Meyer และอัลเลน 2004),และการสำรวจสำมะโนประชากร ข้อมูลรวบรวม รัฐมนตรีต่างประเทศพนักงานเต็มเวลาและผู้ช่วยผู้ดูแลเข้าร่วม การประเมินลักษณะความเป็นผู้นำข้าราชการของตนศิษยาภิบาลของเราความผูกพัน หลักฐานที่สนับสนุนการความน่าเชื่อถือและมีผลบังคับใช้ทั้งรูปผูกพันและนำข้าราชการและเครื่องมือที่เกี่ยวข้องการศึกษานี้พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างข้าราชการของศิษยาภิบาลนำรูปแบบของภาวะผู้นำและหน้าที่ของผล และ normative องค์กรมั่น ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอยู่ระหว่างข้าราชการของศิษยาภิบาลลักษณะความเป็นผู้นำของผู้นำและความมุ่งมั่นต่อเนื่องของพนักงานกับองค์กรข้อมูลสถิติและผลการผลการวิจัยได้รวมงานวิจัยนี้นำเสนอข้อมูลที่สามารถใช้ในอนาคตซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาพฤติกรรมภาวะผู้นำ ตามที่ระบุไว้ในทฤษฎีผู้นำข้าราชการและมีผลในผู้ใต้บังคับบัญชาในองค์กร

Results (Thai) 2:

ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนรับใช้พระของความเป็นผู้นำและความมุ่งมั่นขององค์กรพนักงานเพื่อคริสตจักร ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจากคริสตจักรแบ๊บติส 37 ภาคใต้ในรัฐมิสซิสซิปปี้ที่มีสมาชิกถิ่นที่อยู่ของ500 หรือมากกว่า เก้าสิบหนึ่งมีส่วนร่วมในการศึกษา. การใช้ข้าราชการเป็นผู้นำแบบสอบถาม (SLQ) (Barbuto และล้อ 2006) ที่รุ่นสามคอมโพเนนต์(TCM) สำรวจพนักงานมุ่งมั่น (เมเยอร์และอัลเลน, 2004) และการสำรวจประชากรข้อมูล ถูกเก็บรวบรวม เต็มเวลาสมาชิกในทีมรัฐมนตรีและผู้ช่วยในการบริหารเข้าร่วมการประเมินลักษณะความเป็นผู้นำผู้รับใช้ของพวกเขาพระนอกเหนือจากการให้ความมุ่งมั่นขององค์กร หลักฐานที่สนับสนุนความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของการเป็นผู้นำทั้งคนรับใช้และรูปแบบความผูกพันต่อองค์การและเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง. การศึกษาครั้งนี้พบว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างคนรับใช้พระของลักษณะความเป็นผู้นำของการเป็นผู้นำและพนักงานของอารมณ์และกฎเกณฑ์ขององค์กรมุ่งมั่น ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่อยู่ระหว่างคนรับใช้พระของลักษณะความเป็นผู้นำของการเป็นผู้นำและความมุ่งมั่นต่อเนื่องของพนักงานให้กับองค์กร. ข้อมูลทางสถิติและความหมายสำหรับการค้นพบถูกรวม. การวิจัยครั้งนี้นำเสนอข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ในการศึกษาในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมความเป็นผู้นำที่ระบุไว้ในทฤษฎีความเป็นผู้นำคนรับใช้และผลกระทบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในองค์กร

Results (Thai) 3:

ผลการศึกษาพบความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้
ของบาทหลวงและเจ้าหน้าที่ขององค์การเพื่อคริสตจักร ข้อมูลที่รวบรวมได้จาก
37 ใต้โบสถ์แบบติสม์ในรัฐมิสซิสซิปปี้ด้วย
resident เป็นสมาชิกของ 500 หรือมากกว่า จำนวนหนึ่งเข้าร่วมการ ศึกษา .
ใช้คนใช้แบบสอบถามภาวะผู้นำ ( slq ) ( barbuto & Wheeler , 2006 )
สามองค์ประกอบรูปแบบ ( TCM ) การสำรวจความผูกพันของเมเยอร์&อัลเลน , 2004 ) ,
และการสำรวจประชากร ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวม เต็มเวลาและพนักงาน
และการบริหารผู้ช่วยเข้าร่วมจัดอันดับคนใช้รูปแบบภาวะผู้นำของบาทหลวงของพวกเขา
นอกจากการให้ความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การของตนเอง
หลักฐานสนับสนุนความเที่ยงและความตรงของโมเดลความผูกพันต่อองค์กร ทั้งผู้นำและผู้รับใช้
และเชื่อมโยงเครื่องมือ .
การศึกษาพบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างบาทหลวงผู้รับใช้
รูปแบบภาวะผู้นำของผู้นำและพนักงานของอารมณ์และความผูกพันต่อองค์การ
เชิงบรรทัดฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราของบาทหลวงผู้รับใช้
รูปแบบภาวะผู้นำของผู้นำและพนักงานด้านความยึดมั่นผูกพันต่อองค์การ .
ข้อมูลสถิติและผลกระทบจากกลุ่มตัวอย่างรวม
การวิจัยเสนอข้อมูลที่สามารถใช้ในการศึกษาในอนาคตเกี่ยวกับพฤติกรรมภาวะผู้นำ ตามที่อธิบายไว้ในทฤษฎี และผลกระทบที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในองค์กร
ภาวะผู้นำแบบผู้รับใช้ .